นาเกลือปัตตานี


การทำนาเกลือปัตตานี





ลักษณะ/วิธีการ

             สถานที่ที่เหมาะสมแก่การทำนาเกลือ  คือ  พื้นที่ราบริมทะเล ที่น้ำทะเลสามารถขึ้นได้ในช่วงเดือนข้างขึ้นตลอดปี โดยเฉพาะจังหวัดที่มีริมทะเล เพราะดินเป็นดินเหนียว ในภาคใต้มีการทำนาเกลือแห่งเดียว คือ ที่จังหวัดปัตตานี ดังในบันทึกของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ รายงานทูลเกล้าถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓ ความว่า
          "ในเมืองปัตตานี  มีนาเกลือ แห่งเดียวตลอดแหมมลายู สินค้าเกลือเมืองปัตตานี ขายได้อย่างแพงถึงเกวียนละ ๑๖ เหรียญ ขายตลอดออกไปจนถึงสิงคโปร์เกาะหมาก"
การทำนาเกลือเริ่มต้นโดยการเลือกพื้นที่ใกล้ชายทะเลที่ราบเรียบ  ที่เหมาะสม ที่เป็นดินเหนียว จากนั้นก็ยกคันนาเป็นแปลง ๆ  ขนาดประมาณ  ๑๐ - ๔๐ เมตร เพื่อแบ่งพื้นที่ เหมือนนาข้าว คันนากว้างประมาณ ๕๐ เซนติเมตร พอให้คนเดินผ่านไปมาได้ และไม่สูงเกิน ๑ ฟุต สามารถขังน้ำทะเลได้







              หลังจากนั้นก็จะปรับพื้นนาแต่ละแปลงให้ราบเรียบ  ให้แปลงนาที่อยู่ไกลที่สุดจากทะเลมีระดับสูงกว่าแปลงนาที่อยู่ใกล้ลำคลองที่เชื่อมติดกับทะเล  เมื่อนำน้ำทะเลไปตามลำคลองส่งน้ำ  ให้น้ำไปขังอยู่ในแปลงเหนือสุดก่อน น้ำที่วิดเข้าก็จะไหลไปตามคลองลงสู่แปลงนาตอนบน ให้น้ำขังอยู่แปลงบน (แปลงที่ ๑) น้ำค่อย ๆ ไหลลงแปลงนาที่ต่ำถัดมาตามลำดับ  (แปลงที่ ๒) แปลงที่ ๑ - ๒ จะให้หญ้าขึ้นได้ จากนั้นสังเกตดู ถ้าน้ำแปลงที่ ๑  - ๒ ลด เจ้าของต้องวิดน้ำใส่เพิ่มอยู่เสมอๆ เมื่อที่ขังอยู่ในแปลงที่ ๑ - ๒ นาน ๆ ความเค็มในดิน และน้ำนั้นเค็มขึ้นมาก จากนั้นก็เปิดให้น้ำไหลจากแปลงที่  ๒ ไปนายแปลงที่ ๓ นาแปลงที่ ๓ จะมีการเตรียมพื้นดินโดยบดอัดดินให้แน่นก่อน โดยใช้น้ำผสมบดอัดหลาย ๆ ครั้ง ให้ดินท้องนามีความเค็มอิ่มตัว ใช้ท่อนซุงมะพร้าวบดโดยใช้คนลาก  พอแห้งให้รดน้ำให้ชุ่มอีกครั้ง  บดอัดอีกทีจนดินแน่นเค็มได้ที่  ทิ้งไว้ประมาณ  ๑ สัปดาห์ ปล่อยน้ำจากแปลงที่ ๒ ลงมาชังไว้

                     เมื่อน้ำในแปลงนาใกล้จะแห้งก็ปล่อยน้ำเพิ่มเข้าไปในแต่ละแปลง  แดดจะเผาให้น้ำตกผลึก  และการปล่อยน้ำเข้านาแต่ละแปลง จะต้องไม่ให้มากหรือน้อยเกินไป และมีความต่อเนื่อง แปลงนาระหว่างแปลงที่ ๓ ถึง ๕ จะมีแปลงที่ ๔ กั้นกลาง จะแบ่งทำเป็นแปลงเล็ก ๆ ต่างระดับกันเล็กน้อย การเตรียมดิน แปลงที่ ๔ และ ๕ ปฏิบัติเหมือนการเตรียมดินแปลงที่ ๓ แต่ว่าน้ำที่นำมาผสมดินทำให้ชุ่มนั้น ใช้น้ำเค็มจากนาในแปลงที่ ๓ ทั้งนี้เพราะความเค็มของน้ำมีมากกว่าแปลงที่ ๑ - ๒

                      เมื่อน้ำที่ขังในแปลงนา  แปลงที่ ๓ มีความเค็มจัดจึงปล่อยลงแปลงที่ ๔ น้ำจะมีลักษณะความเป็นเกลือมากขึ้นทุกระยะ เมื่อปล่อยน้ำให้ไหลไปอยู่ในแปลงที่ ๕ ซึ่งเป็นแปลงสุดท้ายอยู่ใกล้ทะเล จนครบทุกแปลง จึงปล่อยทิ้งไว้ประมาณ ๗  -  ๑๐  วัน เมื่อน้ำระเหยไปกับแสงแดดเหลืออยู่เล็กน้อย และเกลือตกผลึกแล้ว ก็ใช้เครื่องมือคราดตอกด้วยตะปูเคาะเกลือให้แตกแล้วกวาดด้วยเครื่องมือคราดทำด้วยไม้กระดานมากองไว้ และปล่อยให้น้ำที่เหลือระเหยแห้งไปเอง   และล้างเกลือในพื้นไปในตัวด้วย   ในระหว่างนี้ห้ามผู้ใดลงไปจะทำให้โคลนหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดตกลงไปปนเปื้อน




        ถ้าน้ำระเหยเร็วโดยที่เกลือยังไม่ตกผลึก  ชาวนาก็ชักน้ำเข้าแปลงอีกครั้ง  จนกว่าจะได้เกลือ  เมื่อกวาดเกลือไปกองและนำขึ้นไปเก็บไว้เตรียมขาย ให้ปล่อยน้ำเค็มจากแปลงที่  ๓ มาอีกครั้ง จนได้เกลือรอบที่ ๒ ,๓ และ ๔ ตามกระบวนการดังกล่าว
ประโยชน์

          จะเห็นได้ว่า ในการทำนาเกลือที่ปัตตานีนั้น  เดิมการนำน้ำทะเลเข้าไปในนาใช้แรงคนวิดเข้านาโดยใช้กาบหลาวชะโอน หรือใบจากมาทำเป็นถังตักน้ำ หรือทำด้วยไม้กระดานใช้ตะปูตอกเป็นรูปถังกลมหรือสี่เหลี่ยม เพื่อใช้เป็นภาชนะวิดน้ำเข้านา มีด้ามคล้ายช้อนขนาดใหญ่ ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ใช้กังหันวิดน้ำเข้า ปัจจุบันส่วนใหญ่ใช้เครื่องยนต์สูบน้ำแทนการใช้กังหันลม แต่ก็ยังมีกังหันลมเหลืออยู่เป็นหลักฐานบ้าง และการทำนาเกลือของจังหวัดปัตตานีในปัจจุบันก็ยังใช้วิธีการนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้เทคโนโลยีแบบพื้นบ้านมีผู้ทำนาเกลือเป็นอาชีพประมาณ   ๕๐๐   คน   พื้นที่  ,๕๐๐  ไร่  ผลิตเกลือได้ปีละประมาณ  ,๐๐  ตัน





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น